แบบฝึกหัดบทที่ 1
1) อธิบายความหมายและส่วนประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ
หมายถึงเทคโนโลยีที่ประกอบขึ้นด้วยระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลระบบสื่อสารโทรคมนาคม
และอุปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติงานด้านสารสนเทศที่มีการวางแผน จัดการ
และใช้งานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
เทคโนโลยีสารสนเทศต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการดังนี้
1. ระบบประมวลผล
2.
ระบบสื่อสารโทรคมนาคม
3.การจัดการข้อมูล
2)
เหตุใดการจัดการข้อมูลจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ
เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเทคโนโลยีทุกรูปแบบที่นำมาประยุกต์ในการประมวลผล
การจัดเก็บ
การสื่อสารและการส่งผ่านสารสนเทศด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยที่ระบบทางกายภาพประกอบด้วย
คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ติดต่อสื่อสารและระบบเครือข่าย
ขณะที่ระบบนามธรรมเกี่ยวข้องกับการจัดรูปแบบของการมีปฏิสัมพันธ์ด้านสารสนเทศทั้งภายในและนอกระบบ
ให้สามารถดำเนินการร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
3)
หน่วยประมวลผลกลาง (CPU) มีหน้าที่อะไร
และสามารถเปรียบเทียบกับอวัยวะส่วนใดของมนุษย์
ตอบ
ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานและการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์
เราสามารถเปรียบเทียบ CPU กับสมองของมนุษย์ที่มีหน้าที่หลัก 2 ประการคือ
- ควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์
- คำนวณและเปรียบเทียบข้อมูล
4) เราสามารถจำแนกคอมพิวเตอร์ออกเป็นกี่ประเภท
อะไรบ้าง
ตอบ เราสามารถจำแนกคอมพิวเตอร์ออกเป็น 4 ประเภท
- ซูเปอร์คอมพิวเตอร์
- เมนเฟรมคอมพิวเตอร์
- มินิคอมพิวเตอร์
- ไมโครคอมพิวเตอร์หรือคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
5)
เหตุใดจึงผู้กล่าวว่า “คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องจักรกลที่เปลี่ยนแปลงโลก” และท่านเห็นด้วยกับความคิดนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ตอบ ไม่เห็นด้วย
เพราะ เป็นความจริงไม่น้อย แต่เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เพียงอย่างเดียว
คงไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงในสังคมได้
เหมือนอย่างที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ถ้าขาดเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมมาสนับสนุน
ปัจจุบันเราสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่องค์การได้หลากหลาย
ตั้งแต่การปฏิบัติงานประจำวัน
การวางแผนยุทธวิธีและการกำหนดกลยุทธ์ธุรกิจโดยเทคโนโลยีสื่อสารจะช่วยเพิ่มผลิตและทางเลือกในการสื่อสาร
และการจัดการข้อมูล
6)
ชุดคำสั่งและภาษาคอมพิวเตอร์คืออะไร
และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ตอบ ชุดคำสั่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดต่อสื่อสาร
และสั่งงานคอมพิวเตอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยชุดคำสั่งจะทำหน้าที่สั่งงานและควบคุมให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานที่กำหนด
ภาษาคอมพิวเตอร์
เป็นสื่อกลางในการติดต่อสื่อสาร สารระหว่างผู้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างสะดวกราบรื่น
มีความสัมพันธ์ คือ
ชุดคำสั่งสำหรับใช้งานและควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ จะถูกเขียนขึ้นจากภาษาคอมพิวเตอร์
ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนาและการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งาน
ผู้ใช้จำเป็นที่จะต้องทำการเรียนรู้ภาษาเครื่อง
ซึ่งเป็นภาษาเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละระบบ
เพื่อให้สามารถทำงานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้อย่างดี
7)
ภาษายุคที่ 4 หรือ 4GL เป็นอย่างไร และมีความแตกต่างจากภาษาคอมพิวเตอร์ในอดีตอย่างไร
ตอบ ภาษาในยุคที่ 4 จะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาให้ง่ายต่อการเรียนรู้และการนำไปใช้งาน
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เขียนชุดคำสั่งและผู้ใช้ที่มีความรู้จำกัดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
8)
จงยกตัวอย่างและอธิบายรายละเอียดของเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่เป็นประโยชน์ต่องานสารสนเทศขององค์กร
ตอบ การสื่อสารข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการจัดการและประมวลผล
ตลอดจนการใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ
ระบบสารสนเทศที่ดีต้องประยุกต์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ในการสื่อสารข้อมูลระหว่างระบบคอมพิวเตอร์
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผู้ใช้ที่อยู่ห่างกัน
ให้สื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แบบฝึกหัดบทที่ 2
สรุปบทที่ 2
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
หมายถึงระบบที่รวบรวมข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์
โดยที่ MIS ประกอบด้วยส่วนประกอบสำคัญ 3 ประการดังนี้
-
เครื่องมือในการสร้าง MIS เป็นส่วนประกอบ
หรือโครงสร้างพื้นฐานที่รวมกันเข้าเป็นระบบสารสนเทศ และช่วยให้ระบบสามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
- วิธีการประมวลเป็นลำดับชั้นในการประมวลผลข้อมูล
-
การแสดงผลลัพธ์ที่ได้จากระบบสารสนเทศมักเป็นรูปของรายงานต่างๆซึ่งสามารถเรียกมาแสดงได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบันผู้จัดการตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูง
ผู้จัดการระดับกลาง และหัวหน้าพนักงานระดับปฏิบัติงาน
ต่างเกี่ยวข้องกับสารสนเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม
มีระดับการใช้งานสำคัญที่แตกต่างกัน โดยมีบทบาทดังนี้
- ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างประสิทธิภาพ
- เข้าใจความต้องการของระบบ
-มีส่วนร่วมในการออกแบบและการพัฒนาโครงสร้าง
- บริหารและตัดสินใจในการสรรหาและคัดเลือกเทคโนโลยีสารสนเทศ
- จัดการและควบคุมผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีต่อผู้เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวางกลายเป็นยุคแห่งเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคข้อมูลข่าวสาร
และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาล คือ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้สามารถจำแนกผลกระทบทางบวกของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดังนี้
- เพิ่มความสะดวกสบายในการสื่อสาร การบริหารและการผลิต
- เกิดสังคมแห่งการสื่อสารและสังคมโลก
- มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่างๆในฐานข้อมูลความรู้
- เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ
หรือผู้ด้อยโอกาสจากการพิการทางร่างกาย
- พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่
- การทำงานแลกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
- ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการบริโภคสินค้าที่หลากหลายและมีคุณภาพดีขึ้น
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกผลกระทบทางลบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้ดังนี้
- ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นในสังคม
- ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรมหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก
- ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม
- การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง
- การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล
- เกิดช่องว่างทางสังคม
- เกิดการต่อต้านเทคโนโลยี
- อาชญากรรมบนเครือข่าย
- ก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ
1) นิยามความหมายและยกตัวอย่างของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
ตอบ
หมายถึงระบบที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆ
ทั้งภายในและภายนอกองค์การอย่างมีหลักเกณฑ์
ตัวอย่างคือ
สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆทั้งจากภายในและภายนอกองค์การมาไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ
สามารถทำการประมวลผลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงาน
และการบริหารงานของผู้บริหาร
2) ข้อมูลและสารสนเทศมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ
เหมือนกันเนื่องจากข้อมูลและสารสนเทศจะเป็นหน่วยพื้นฐานของ MIS ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อการดำเนินงานและการตัดสินใจทางธุรกิจ
อย่างไรก็ดีข้อมูลและสารสนเทศสามารถใช้ทดแทนกันในหลายโอกาส
แต่บางครั้งอาจมีความหมายที่แตกต่างกันมาก
เนื่องจากความเจาะจงในการใช้งาน
3) สารสนเทศที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไร
ตอบ - ถูกต้อง
- ทันเวลา
- สอดคล้องกับงาน
- สามารถตรวจสอบได้
4)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีประโยชน์ต่อการประกอบธุรกิจอย่างไร
ตอบ
สามารถนำสารสนเทศมาช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสทางธุรกิจ
กล่าวได้ว่าสารสนเทศเป็นข้อมูลที่มีความหมายหรือตรงตามความต้องการของผู้ใช้
เนื่องจากข้อมูลที่ดีย่อมเป็นวัตถุดิบสำหรับสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันข้อมูลและสารสนเทศที่มีคุณภาพจะช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจวางแผน
กำหนดเป้าหมาย และแก้ปัญหาในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นได้อย่างดี
5) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วยคุณสมบัติอะไรบ้าง
ตอบ - ความสามรถในการจัดการข้อมูล
- ความปลอดภัยของข้อมูล
- ความยืดหยุ่น
- ความพอใจของผู้ใช้
6) บุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีกี่ระดับ
อะไรบ้าง
ตอบ มี 3 ระดับ -
หัวหน้างานระดับต้น
- ผู้จัดกลางระดับกลาง
-
ผู้บริหารระดับสูง
7) จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งานระบบสารสนเทศและระดับของผู้บริหารในองค์การ
ตอบ - หัวหน้างานระดับต้น
เป็นบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลการปฏิบัติงานแบบวันต่อวัน ได้แก่
หัวหน้างาน หัวหน้าหน่วย และหัวหน้าแผนก
- ผู้จัดการระดับกลาง
เป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ควบคุมและประสานงานระหว่างหัวหน้างานระดับปฏิบัติการและผู้บริหารระดับสูง
เพื่อให้การประสานงานในองค์กรราบรื่น ทำให้หัวหน้างานและพนักงานระดับปฏิบัติ
สามารถปฏิบัติงานตามนโยบายที่มาจากผู้บริหารระดับสูงอย่างถูกต้องและสมบูรณ์
- ผู้บริหารระดับสูง
เป็นกลุ่มบุคคลที่ทำการกำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง วางนโยบาย
และแผนงานระยะยาวขององค์การ โดยอาศัยข้อสรุปและสารสนเทศจากกลุ่มผู้จัดการระดับกลาง
8) ผู้บริหารสมควรมีบทบาทต่อการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศขององค์การอย่างไร
ตอบ กำหนดวิสัยทัศน์ ทิศทาง วางนโยบาย
และแผนงานระยะยาวขององค์การ
9) โครงสร้างของหน่วยงานสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ส่วน
อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
- หน่วยวิเคราะห์และออกแบบระบบ
- หน่วยเขียนชุดคำสั่ง
- หน่วยปฏิบัติการและบริการ
10) บุคลากรของหน่วยงานสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ประเภท
อะไรบ้าง
ตอบ มี 7 ประเภท
- หัวหน้าพนักงานสารสนเทศ
- นักวิเคราะห์และออกแบบระบบ
- ผู้เขียนชุดคำสั่ง
- ผู้ควบคุมเครื่องคอมพิวเตอร์
- ผู้จัดตารางเวลา
- พนักงานจัดเก็บและรักษา
- พนักงานจัดเตรียมข้อมูล
11) เพราะเหตุใดผู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศจะต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับจริยธรรมและจรรยาบรรณ
ตอบ เพราะ IT
มีอิทธิพลอย่างมากในเรื่องการกระจายอำนาจ ทรัพย์สิน สิทธิ
และความรับผิดชอบ การพัฒนา IT ทำให้เกิดผู้แพ้ ผู้ชนะ ผู้ได้ประโยชน์ หรือผู้เสียประโยชน์
จะเห็นว่าระบบข้อมูลสารสนเทศนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการดูแลรักษาความปลอดภัยของข้อมูล
รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
โดยแผนกหรือฝ่ายสารสนเทศเพื่อการจัดการจะมีนโยบายที่แน่นอนในการจัดการข้อมูลให้เกิดความปลอดภัย
ใช้อย่างถูกต้อง และเป็นประโยชน์
12) จงอธิบายตัวอย่างผลกระทบทางบวกและทางลบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ตอบ ผลกระทบทางบวกคือ
-
เพิ่มความสะดวกสบายในเรื่องการสื่อสาร การบริการ และการผลิต
-
เกิดสังคมแห่งการสื่อสารและสังคมโลก
-
มีระบบผู้เชี่ยวชาญต่างๆในฐานข้อมูลความรู้
- เทคโนโลยีสารสนเทศสร้างโอกาสให้คนพิการ
- พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยเกิดการศึกษาในรูปแบบใหม่
ผลกระทบทางลบคือ
- ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นในสังคม
-
ก่อให้เกิดการรับวัฒนธรรมหรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของคนในสังคมโลก
- ก่อให้เกิดผลด้านศีลธรรม
- การมีส่วนร่วมของคนในสังคมลดน้อยลง
- อาชญากรรมบนเครือข่าย
- เกิดช่องว่างทางสังคม
แบบฝึกหัดบทที่ 3
สรุปบทที่ 3
ระบบปฏิบัติการทางธุรกิจที่เรียกว่า
TPS คือ
ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ระบบจัดทำรายงานสำหรับการจัดการรายงานที่เรียกว่า
MRS คือ
ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวม ประมวลผล จัดระบบ และจัดทำรายงาน
หรือเอกสารสำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร
เนื่องจากรายงานที่ถูกทำอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ
ระบบสนับสนุนการตัดสินใจที่เรียกว่า
DSS คือ
ระบบที่จัดหาหรือจัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
เพื่อช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น
ปกติปัญหาของผู้บริหารจะมีลักษณะที่เป็นกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
ซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต
ระบบสารสนเทศสำนักงานที่เรียกว่า
OIS คือ
ระบบที่ถูกออกแบและพัฒนาขึ้นให้ช่วยการทำงานในสำนักงาน โดยที่ OIS จะประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานเพื่อเพิ่มผลผลิต
และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในสำนักงาน
1.1 อธิบายความหมายของระบบปฏิบัติการทางธุรกิจ
TPS
ตอบ
ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์
โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นอุปกรณ์หลักของระบบ
เพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานภายในองค์การอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.2 หน้าที่หลักของ TPS มีอะไรบ้าง
ตอบ - การทำบัญชี
- การออกเอกสาร
- การทำรายงานควบคุม
1.3 อธิบายส่วนประกอบของวงจรการทำงานของ TPS ว่าแตกต่างจากระบบจัดออกรายงานสำหรับการจัด MRS อย่างไร
ตอบ TPSถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทำงานเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานประจำวันขององค์การ
ซึ่งมีลักษณะร่วมที่ต้องปฏิบัติตามรอบระยะเวลา หรือขั้นตอนการปฏิบัติที่กำหนดไว้
โดยที่ผู้ใช้สามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ให้การทำงานสะดวกขึ้น
โดยปกติเวลาการทำงานของระบบสารสนเทศสำหรับปฏิบัติการทางธุรกิจ
2.1 อธิบายความหมายของระบบจัดทำรายงานเพื่อการจัดการ
MRS
ตอบ ระบบสารสนเทศที่ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวม
ประมวลผล จัดระบบ และจัดทำรายงาน
หรือเอกสารสำหรับช่วยในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับการบริหาร
เนื่องจากรายงานที่ถูกทำอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การบริหารงานมีประสิทธิภาพ
2.2
รายงานที่ออกโดยระบบ MRS มีกี่ประเภท
และอะไรบ้าง จงอธิบายอย่างละเอียด
ตอบ มี 4 ประเภท
- รายงานที่ออกตามตาราง
เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามระยะเวลาที่กำหนดแน่นอน เช่น ประจำวัน
ประจำสัปดาห์ หรือประจำเดือน เป็นต้น
โดยรายงานตามตารางเวลาจะสรุปผลการดำเนินงานในแต่ละช่วงเวลาที่ผ่านมา
- รายงานที่ออกในกรณีพิเศษ
เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นเมื่อมีสิ่งผิดปกติหรือปัญหาเฉพาะหน้าเกิดขึ้น
โดยการนำเสนอรายงานพิเศษมีวัตถุประสงค์ต้องการให้ผู้บริหารรับทราบ
และทำการตัดสินใจแก้ไขและควบคุมผลประโยชน์ขององค์การ
- รายงานที่ออกตามความต้องการ
เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นตามความต้องการของผู้บริหาร ซึ่งรายงานตามความต้องการจะแสดงข้อมูลเฉพาะเรื่องที่ผู้บริหารต้องการทราบ
เพื่อให้ผู้บริหารเกิดความเข้าใจในปัญหาและสามารถตัดสินใจอย่างเหมาะสม
- รายงานที่ออกเพื่อพยากรณ์
เป็นรายงานที่ใช้ข้อสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร
การพยากรณ์จะอาศัยเทคนิคการวิเคราะห์ทางสถิติและคณิตศาสตร์ หรือที่เรียกว่า
การวิจัยขั้นดำเนินงานมาทำการประมวลผลข้อมูลในอดีต
เพื่อช่วยให้ผู้บริหารสามารถมีแนวทางในการเลือกตัดสินใจ
2.3 สิ่งที่ควรมีในรายงานที่ออกโดยระบบ
MRS มีอะไรบ้าง
ตอบ -
สามารถที่จะสนับสนุนการตัดสินใจทั้งที่เป็นแบบโครงสร้างและกึ่งโครงสร้างมรประสิทธิภาพ
-
ผลิตเอกสารหรือรายงานตามตารางที่กำหนด
-
ถูกผลิตออกมาในรูปแบบที่คงที่หรือถูกกำหนดไว้
เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำไปใช้งานตามความต้องการ
-
สารสนเทศที่ถูกบรรจุอยู่ในรายงานหรือเอกสาร
มักเป็นสารสนเทศที่เกิดขึ้นในอดีตมากกว่าที่จะสัมพันธ์กับอนาคต โดย MRS จะรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่เกิดขึ้น
แล้วเสนอต่อผู้จัดการเพื่อทำการศึกษา วิเคราะห์
2.4
คุณสมบัติที่ดีของระบบ MRS มีอะไรบ้าง
จงอธิบายอย่างละเอียด
ตอบ - ตรงประเด็น รายงานที่ออกควรที่จะบรรจุด้วยสารสนเทศที่เป็นที่ต้องการ
หรือเป็นประโยชน์ต่อเรื่องที่ผู้บริหารกำลังตัดสินใจอยู่
- ความถูกต้อง รายงานที่ออกควรบรรจุด้วยสารสนเทศที่ถูกต้อง
ไม่มีข้อผิดพลาด และเป็นที่เชื่อถือได้ของผู้บริหาร
- ถูกเวลา รายงานที่ออกควรบรรจุด้วยสารสนเทศที่ทันสมัยและทันเวลาเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนั้น
- สามารถพิสูจน์ได้
รายงานที่ออกควรบรรจุด้วยสารสนเทศที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาว่า
เป็นข้อมูลจากแหล่งใด และมีความน่าเชื่อถือเพียงใด
3)
จงอธิบายความหมายของระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ DSS
ตอบ
ระบบที่จัดหาหรือจัดเตรียมสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร
เพื่อช่วยในการตัดสินใจแก้ปัญหาหรือเลือกโอกาสที่เกิดขึ้น
ปกติปัญหาของผู้บริหารจะมีลักษณะที่เป็นกึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
ซึ่งยากต่อการวางแนวทางรองรับหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในอนาคต
4.1 จงอธิบายความหมายของระบบสารสนเทศสำนักงาน
OIS
ตอบ
ระบบที่ถูกออกแบและพัฒนาขึ้นให้ช่วยการทำงานในสำนักงาน โดยที่ OIS จะประกอบขึ้นจากเทคโนโลยีสารสนเทศและใช้เทคโนโลยีเครื่องใช้สำนักงานเพื่อเพิ่มผลผลิต
และประสิทธิภาพการปฏิบัติงานในสำนักงาน
4.2
อธิบายหน้าที่ของระบบจัดการเอกสารในระบบสารสนเทศสำนักงาน
พร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ
หน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการจัดทำ กระจาย และเก็บรักษาเอกสารต่างๆภายในองค์การ
โดยระบบจัดการเอกสารจะประกอบไปด้วยเครื่องมือสำคัญ ดังนี้
- การประมวลคำ ปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ มักจะพิมพ์เอกสารโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และชุดคำสั่งสำหรับการประมวลภาษา
โดยที่ชุดคำสั่งสำหรับประมวลภาษาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการพิมพ์งาน
- การผลิตเอกสารหลายชุด
เป็นการผลิตเอกสารแบบเดียวกันหลายๆชุด เพื่อที่จะเผยแพร่ทั้งภายในภายนอกสำนักงาน
ปัจจุบันมีการใช้ระบบที่เรียกว่า ระบบอัดสำเนาอัจฉริยะ
- การออกแบบเอกสาร
เป็นชุดคำสั่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถผลิตเอกสารและสิ่งพิมพ์ให้มีคุณภาพใกล้เคียงกับการผลิตโดยมืออาชีพ
- การประมวลรูปภาพ
เป็นการอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถที่จะนำรูปภาพจากเอกสารต่างๆมาเก็บไว้ในฐานข้อมูล และสามารถเรียกกลับมาทำการดัดแปลงเพื่อใช้งานได้
- การเก็บรักษา
เป็นการเก็บรักษาข้อมูลในหน่วยความจำสำรอง เช่น เทปแม่เหล็ก ไมโครฟิล์ม
แผ่นจานแม่เหล็ก หรือแผ่น CD เป็นต้น
4.3
อธิบายหน้าที่ของระบบควบคุมข่าวสารในระบบสารสนเทศสำนักงาน พร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ
เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้น
เพื่อควบคุมการกระจายและการใช้งานข่าวสารในสำนักงาน โดยการจัดการข้อมูลให้เป็นระบบ
- โทรสาร หรือที่เรียกว่า
แฟกซ์
เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รู้จักกันดีในสำนักงาน
ปัจจุบันเครื่องโทรสารช่วยให้ข่าวสารข้อมูล ซึ่งประกอบด้วยข้อความและรูปภาพบนกระดาษ
หรือในระบบข้อมูลขององค์การถูกส่งจากแหล่งหนึ่งไปสู่อีกแหล่งหนึ่งอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ
- ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
หรือที่เรียกว่า อีเมล
เป็นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบสื่อสารที่ใช้ในการส่งข่าวสารจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
และถูกเก็บรักษาไว้ จนกระทั่งมีการเรียกดูจากผู้รับ
- ไปรษณีย์เสียง
เป็นการส่งผ่านข่าวสารที่เป็นเสียงจากที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่ง
โดยผ่านระบบโทรศัพท์ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่แปลงสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณดิจิตอล
4.4 อธิบายหน้าที่ของระบบการประชุมทางไกลในระบบสารสนเทศสำนักงาน
พร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ
เป็นระบบเชื่อมโยงบุคคลตั้งแต่ 2 คน
ซึ่งอยู่กันคนละที่ ให้ประชุมหรือสามารถโต้ตอบกันได้
โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปอยู่ในสถานที่เดียวกัน
-
การประชุมทางไกลที่ใช้ทั้งภาพและเสียง
- การประชุมทางไกลใช้เฉพาะเสียง
- การประชุมโดยใช้คอมพิวเตอร์
- โทรทัศน์ภายใน
- การปฏิบัติงานผ่านระบบสื่อสารทางไกล
4.5 อธิบายหน้าที่ของระบบสนับสนุนการทำงานสำนักงานในระบบสารสนเทศสำนักงาน
พร้อมยกตัวอย่าง
ตอบ
ช่วยให้พนักงานในสำนักงานเดียวกันใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในสำนักงานให้เกิดประโยชน์ในการทำงานร่วมกันอย่างเต็มที่
ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน
แบบฝึกหัดบทที่ 4
สรุปบทที่ 4
การพัฒนาระบบสารสนเทศ
เป็นงานใหญ่ที่เกี่ยวข้องทั้งในด้านงบประมาณ ทรัพยากรขององค์การ และระยะเวลา
แต่สิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะช่วยให้การพัฒนาระบบประสบความสำเร็จ คือ
ผู้ใช้ระบบจะต้องให้ข้อมูลแก่ทีมงานพัฒนาระบบในด้านต่างๆ คือ
สารสนเทศที่หน่วยงานต้องการผู้ใช้ต้องการให้ระบบมีความสามารถอย่างไร
โดยที่การพัฒนาระบบให้ประสบความสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้
-
ผู้นำและผู้ใช้ระบบมีส่วนร่วมตลอดกระบวนการ
- การวางแผนพัฒนาระบบถูกดำเนินการอย่างถูกวิธี
- มีแนวทางที่แน่นอนในการออกแบบ
- มีการวางแผนและการฝึกอบรมผู้ใช้
- มีการตรวจสอบหลังการติดตั้งระบบใหม่เป็นระยะ
หน้าที่หลักของนักวิเคราะห์
คือ การวางแผน การวิเคราะห์ระบบ และการออกแบบระบบ
อีกทั้งในระหว่างการพัฒนาระบบสารสนเทศ นักวิเคราะห์ระบบมีหน้าที่สำคัญที่จะต้องดำเนินการอีกหลายหน้าที่
เช่น ติดต่อประสานงานกับผู้ใช้ระบบในหน่วยงานต่างๆ
รวบรวมข้อมูลของระบบเดิมเพื่อให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น
การพัฒนาระบบสารสนเทศจะมีกระบวนการที่ใหญ่แบ่งออกได้เป็นหลายขั้นตอน
การที่จะพัฒนาระบบให้ได้มีประสิทธิภาพ
ทีมพัฒนาระบบจะต้องเข้าใจถึงขั้นตอนของกระบวนการพัฒนาเป็นอย่างดี
ซึ่งกระบวนการพัฒนาระบบนั้นสามารุแบ่งออกได้เป็น 5 ขั้นตอนคือ
- การสำรวจเบื้องต้น
- การวิเคราะห์ความต้องการ
- การออกแบบระบบ
- การจัดหาอุปกรณ์ของระบบ
- การติดตั้งระบบและการบำรุงรักษา
1)
ผู้ใช้มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบสารสนเทศอย่างไรบ้าง
ตอบ พัฒนาระบบใหม่ให้กับองค์การ
โดยบุคคลหรือกลุ่มควรที่จะมีการทำงานที่ใกล้ชิดกับทีมงานผู้พัฒนาระบบหรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานผู้พัฒนาระบบ
2) ปัจจัยที่ช่วยให้การพัฒนาระบบสารสนเทศประสบความสำเร็จมีอะไรบ้าง
ตอบ - ผู้ใช้ระบบ
- การวางแผน
- การทดสอบ
- การจัดเก็บเอกสาร
- การเตรียมความพร้อม
- การตรวจสอบและประเมินผล
- การบำรุงรักษา
- อนาคต
3)
หน้าที่สำคัญของนักวิเคราะห์ระบบในการพัฒนาระบบสารสนเทศมีอะไรบ้าง
ตอบ - ที่ปรึกษา
- ผู้เชี่ยวชาญ
- ตัวแทนการเปลี่ยนแปลง
4)
ทีมงานพัฒนาระบบสารสนเทศมีลักษณะอย่างไร
ประกอบด้วยบุคคลใดบ้าง เพราะเหตุใดจึงต้องปฏิบัติงานร่วมกัน
ตอบ เป็นกลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบ
หรือมีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการพัฒนาระบบ
ปกติการออกแบบและพัฒนาระบบสารสนเทศในองค์การขนาดใหญ่
จะต้องมีการทำงานร่วมกันของสมาชิกจากหลายส่วน
ประกอบด้วย
- คณะกรรมการดำเนินงาน
- ผู้จัดการระบบสารสนเทศ
- ผู้จัดการโครงการ
- นักวิเคราะห์ระบบ
- นักเขียนโปรแกรม
- เจ้าหน้าที่รวบรวมข้อมูล
- ผู้ใช้และผู้จัดการทั่วไป
เพราะ
การทำงานยากที่บุคคลเพียงคนเดียวจะปฏิบัติงานได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะการพัฒนาระบบสารสนเทศขององค์การ ที่ต้องการความรู้และความชำนาญจากหลายหน้าที่
ทำให้การปฏิบัติงานร่วมกันเป็นทีม เป็นวิธีการที่เหมาะสม
5)
วิธีพื้นฐานที่ใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศมีกี่วิธี อะไรบ้าง
ตอบ มี 4 วิธี คือ
- วิธีเฉพาะเจาะจง
- วิธีสร้างฐานข้อมูล
- วิธีจากล่างขึ้นบน
- วิธีจากบนลงล่าง
6)
การพัฒนาระบบสารสนเทศประกอบด้วยกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง
ตอบ มี 5 ขั้นตอน คือ
- การสำรวจเบื้องต้น
- การวิเคราะห์ความต้องการ
- การออกแบบระบบ
- การจัดหาอุปกรณ์ของระบบ
- การติดตั้งระบบและการบำรุงรักษา
7)
ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นสำรวจเบื้องต้น
ตอบ ต้องสำรวจหาข้อมูลในประเด็นต่างๆ
เกี่ยวกับระบบงาน ได้แก่ ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบที่ต้องการ
สิ่งที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกลยุทธ์ในการดำเนินงาน
และการประมาณการของค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้
8)
ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นวิเคราะห์ความต้องการ
ตอบ
มุ่งเจาะลงลึกในรายละเอียดที่มากกว่าในขั้นสำรวจเบื้องต้น
โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้
การใช้งานในแต่ละด้านของระบบใหม่
9)
ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นออกแบบระบบ
ตอบ ทำการออกแบบรายละเอียดในส่วนต่างๆของระบบสารสนเทศ
ได้แก่ การแสดงผลลัพธ์
การป้อนข้อมูล กระบวนการการเก็บรักษา การปฏิบัติงาน
และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับระบบงานใหม่
10)
ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นจัดหาอุปกรณ์ของระบบ
ตอบ กำหนดส่วนประกอบของระบบทั้งในด้านอุปกรณ์และชุดคำสั่ง
ตลอดจนบริการต่างๆที่ต้องการจากผู้ขาย
ปกติทีมงานผู้พัฒนาระบบจะต้องทำการจัดหาสิ่งที่ต้องการ
โดยเปิดให้มีการยื่นข้อเสนอจากผู้ขายอุปกรณ์ต่างๆ
11)
ทีมงานพัฒนาระบบสมควรต้องทำอะไรบ้างในขั้นติดตั้งระบบและการบำรุงรักษา
ตอบ ควบคุมและดูแลการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆของระบบใหม่
โดยดำเนินการด้วยตัวเองหรือจ้างผู้รับเหมา
และต้องมีการทดสอบการใช้งานว่า
ระบบใหม่สามารถปฏิบัติงานได้ตรงตามวัตถุประสงค์และรูปแบบที่ได้ทำการออกแบบไว้หรือไม่
12) รูปแบบของวงจรการพัฒนาระบบที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีกี่รูปแบบ
อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ มี 4 รูปแบบ คือ
- รูปแบบน้ำตก
วงจรการพัฒนาระบบแบบนี้ได้เผยแพร่ใช้งานในปี ค.ศ.1970
เป็นรูปแบบที่มีมานาน และเป็นที่นิยมใช้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
มีหลักการเปรียบเทียบเสมือนกับน้ำตกซึ่งไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
- รูปแบบวิวัฒนาการ วงจรการพัฒนาระบบในรูปแบบวิวัฒนาการมีแนวความคิดที่เกิดมาจากทฤษฎีวิวัฒนาการ
โดยจะพัฒนาระบบจนเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในเวอร์ชันแรกก่อน
จากนั้นพิจารณาข้อดีข้อเสียของระบบหาข้อผิดพลาดโดยการทดสอบและประเมินระบบ
- รูปแบบค่อยเป็นค่อยไป
มีลักษณะคล้ายคลึงกับรูปแบบวิวัฒนาการ แต่มีข้อแตกต่างกันตรงที่ระบบที่ได้ในแต่ละช่วง
เนื่องจากระบบที่เกิดขึ้นในการพัฒนาขั้นแรกนั้นจะยังไม่ใช่ระบบที่สมบูรณ์
แต่เป็นระบบเพียงส่วนแรกเท่านั้นจากระบบที่ต้องการทั้งหมด
- รูปแบบเกลียว
มีลักษณะที่กระบวนการวิเคราะห์ การออกแบบ และการพัฒนา
จะวนกลับมาในแนวทางเดิมเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้ระบบที่สมบูรณ์
13)
การปรับเปลี่ยนระบบมีกี่วิธี อะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ มี 4 วิธี
- การปรับเปลี่ยนโดยตรง เป็นการแทนที่ระบบสารสนเทศเดิมด้วยระบบใหม่อย่างสมบูรณ์
โดยการหยุดใช้ระบบเก่าอย่างสิ้นเชิงและเปลี่ยนไปใช้ระบบใหม่ในทันที
- การปรับเปลี่ยนแบบขนาน
เป็นการดำเนินการโดยใช้งานทั้งระบบสารสนเทศเก่าและระบบใหม่ไปพร้อมๆกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
เพื่อให้เป็นหลักประกันความเสี่ยงว่า
ถ้าระบบงานใหม่ยังไม่สามารถทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงแล้ว
ก็ยังมีระบบเก่าที่สามารถทำงานได้รองรับงานอยู่
- การปรับเปลี่ยนแบบเป็นระยะ
เป็นการปรับเปลี่ยนระบบสารสนเทศเก่าไปใช้ระบบสารสนเทศใหม่เฉพาะงานด้านใดด้านหนึ่งก่อน
เมื่องานด้านนั้นทำงานได้ประสบความสำเร็จแล้ว
จึงขยายการปรับเปลี่ยนระบบออกไปในด้านอื่นอีก
- การปรับเปลี่ยนแบบนำร่อง
เป็นการปรับเปลี่ยนไปใช้ระบบสารสนเทศใหม่อย่างเป็นขั้นตอนและค่อยเป็นค่อยไป
หลังจากที่ส่วนหนึ่งติดตั้งเสร็จ และใช้งานได้ดีแล้ว ก็จะขยายผลไปในส่วนต่อๆไป
แบบฝึกหัดบทที่ 5
สรุปบทที่ 5
เราจะแบ่งการจัดแฟ้มข้อมูลออกเป็น
2 แบบคือ การจัดแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ
เป็นวิธีการจัดเก็บและรวบรวมระเบียนของข้อมูลตามลำดับก่อนหลัง
โดยจัดเรียงจากน้อยไปหามาก หรือจากมากไปหาน้อย
การจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม เป็นวิธีการจัดรวบรวมระเบียบข้อมูลที่ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลโดยตรง
และไม่ต้องผ่านระเบียบอื่นตามลำดับก่อนหลัง
ฐานข้อมูล
หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลเข้ไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและมีแบบแผน ณ
ที่ใดที่หนึ่งในองค์การ
เพื่อที่ผู้ใช้จะสามารถนำข้อมูลมาประมวลผลและปรุยุกต์ใช้งานตามที่ต้องการได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
ระบบจัดการฐานข้อมูล
หมายถึงชุดคำสั่งซึ่งทำหน้าที่สร้าง ควบคุม และดูแลฐานข้อมูล
เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและสามารถนำข้อมูลนั้นมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยที่ DBMS จะทำหน้าที่เสมือนตัวกลางระหว่างชุดคำสั่ง
สำหรับการใช้งานกับหน่วยเก็บข้อมูล DBMS จะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก
3 ส่วนคือ ภาษาสำหรับนิยามข้อมูล
ภาษาสำหรับการใช้ข้อมูลและพจนานุกรมข้อมูล
ระบบฐานข้อมูลแบบกระจายข้อมูล
หมายถึงระบบฐานข้อมูลที่เก็บข้อมูลไว้ในที่ต่างๆมากกว่า 1 แห่ง โดยข้อมูลส่วนหนึ่งจะถูกเก็บไว้ในสถานที่แห่งหนึ่ง ขณะที่ข้อมูลส่วนที่เหลืออาจจะถูกเก็บรวมไว้ในอีกที่หนึ่งหรือถูกแยกเก็บไว้ตามที่ต่างๆ
โดยที่ข้อมูลเหล่านี้สามารถถูกเรียกมาประมวลผล
1)
เราสามารถจำแนกการจัดการเพิ่มข้อมูลออกเป็นกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ มี 2 แบบ คือ
- การจัดแฟ้มแบบเรียงลำดับ
- การจัดแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม
2)
จงอธิบายความหมาย
ตลอดจนข้อดีและข้อจำกัดของการจัดการเพิ่มแฟ้มข้อมูลแบบสุ่ม
ตอบ ข้อดี
- การเข้าถึงข้อมูลสะดวกและรวดเร็ว
เนื่องจากผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยตรง
ไม่ต้องผ่านแฟ้มข้อมูลอื่นเหมือนการจัดแฟ้มข้อมูลแบบเรียงลำดับ
- สะดวกในการปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัย
เนื่องจากปรับปรุงแฟ้มข้อมูลทำได้โดยง่าย ไม่จำเป็นจะต้องเรียงลำดับหรือรอเวลา
- มีความยืดหยุ่นและเหมาะสมกับงานที่ต้องการประมวลผลแบบโต้ตอบ
ตลอดจนมีระยะเวลาในการประมวลผลไม่แน่นอน
ข้อจำกัด
- ข้อมูลมีโอกาสผิดพลาดและสูญหาย
เนื่องจากการดำเนินงานมีความยืดหยุ่น ถ้าขาดการจัดการที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดเก็บ ความถูกต้องและความแน่นอนของแฟ้มข้อมูล
- การเปลี่ยนแปลงจำนวนระเบียนจะทำได้ลำบากกว่าวิธีเรียงลำดับ
เนื่องจากต้องจัดรูปแบบความสัมพันธ์ขึ้นใหม่
- มีค่าใช้จ่ายสูง
เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีสูง
และผู้ใช้ต้องมีทักษะในงานมากกว่าแฟ้มข้อมูลระบบเรียงลำดับ
3) ฐานข้อมูลคืออะไร
และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน
ตอบ ฐานข้อมูล
หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูลเข้ไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและมีแบบแผน ณ
ที่ใดที่หนึ่งในองค์การ
เพื่อที่ผู้ใช้จะสามารถนำข้อมูลมาประมวลผลและปรุยุกต์ใช้งานตามที่ต้องการได้อย่างมี ประสิทธิภาพ
4)
เราสามารถจำแนกแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลเชิงตรรกะออกเป็นกี่ประเภท
อะไรบ้าง
ตอบ มี 3 ประเภท คือ
- แบบจำลองการจัดข้อมูลเชิงลำดับขั้น
- แบบจำลองการจัดข้อมูลแบบเครือข่าย
- แบบจำลองการจัดข้อมูลเชิงสัมพันธ์
5)
จงเปรียบเทียบประโยชน์ในการใช้งานของแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลแต่ละประเภท
ตอบ - แบบจำลองการจัดข้อมูลเชิงลำดับขั้น
แสดงโครงสร้างข้อมูลที่มีความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลาย
โดยที่การจัดข้อมูลเชิงลำดับขั้นจะมีการจัดโครงสร้างลักษณะต้นไม้
ที่เริ่มจากส่วนรากแล้วแพร่ขยายออกไปเป็นสาขา
- แบบจำลองการจัดข้อมูลแบบเครือข่าย
เป็นแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกว่าแบบจำลองเชิงลำดับขั้น
เนื่องจากโครงสร้างประเภทนี้จะมีความสัมพันธ์ในลักษณะหนึ่ง
- แบบจำลองการจัดข้อมูลเชิงสัมพันธ์
เป็นแบบจำลองโครงสร้างข้อมูลที่แสดงความสัมพันธ์ของข้อมูลในรูปตาราง 2 มิติ ซึ่งแบบจำลองข้อมูลเชิงสัมพันธ์แสดงความสัมพันธ์ข้อมูลที่อยู่ในตารางเดียวกัน
6)
ระบบจัดการฐานข้อมูลคืออะไร มีส่วนประกอบอะไรบ้าง
ตอบ ระบบจัดการฐานข้อมูล
หมายถึงชุดคำสั่งซึ่งทำหน้าที่สร้าง ควบคุม และดูแลฐานข้อมูล
เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและสามารถนำข้อมูลนั้นมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยที่ DBMS จะทำหน้าที่เสมือนตัวกลางระหว่างชุดคำสั่ง
สำหรับการใช้งานกับหน่วยเก็บข้อมูล DBMS จะประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก
3 ส่วนคือ
- ภาษาสำหรับนิยามข้อมูล
- ภาษาสำหรับการใช้ข้อมูล
- พจนานุกรมข้อมูล
7)
จงอธิบายความหมายและประโยชน์ของพจนานุกรมข้อมูล
ตอบ
เป็นเครื่องมือที่จัดเรียบเรียงความหมายและอธิบายลักษณะที่สำคัญของข้อมูลในฐานข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบและระเบียบ
เพื่อให้ง่ายต่อการค้นคว้าและนำไปใช้อ้างอิงในอนาคต
8)
นักบริหารฐานข้อมูลมีหน้าที่สำคัญอะไรบ้าง
ตอบ ทำหน้าที่ดูแลรักษาและพัฒนาระบบฐานข้อมูล
ตลอดจนจัดทำนโยบายวางแผน และดำเนินการจัดการเกี่ยวกับข้อมูลของธุรกิจขึ้น
จัดทำหลักฐานอ้างอิงของระบบฐานข้อมูล และประสานงานกับผู้ใช้
9)
เหตุใดบางองค์การจึงต้องมีหัวหน้างานด้านสารสนเทศ (CIO)
และ CIO มีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างไร
ตอบ รองประธานบริษัท ผู้อำนวยการ
หรือหัวหน้างานด้านสารสนเทศ ตามแต่การแบ่งงานขององค์การ
ขณะที่บางองค์การได้แยกหน่วยงานทางด้านสารสนเทศออกเป็นอิสระจากองค์การเดิม
10)
จงอธิบายแนวโน้มของเทคโนโลยีฐานข้อมูลในอนาคต
ตอบ ต้องมีความถูกต้อง รวดเร็ว และปลอดภัย ส่งผลให้องค์การไม่จำเป็นต้องทำการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ศูนย์กลาง
แบบฝึกหัดบทที่ 6
สรุปบทที่ 6
รูปแบบของเทคโนโลยีของเครือข่ายหลักๆมี
4 แบบคือ
- โทโปโลยีแบบบัส
เป็นโทโปโลยีที่ได้รับความนิยมใช้กันมากที่สุดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ลักษณะการทำงานของเครือข่าย โทโปโลยีแบบบัส คือ
อุปกรณ์ทุกชิ้นหรือโหนดทุกโหนดในเครือข่าย
จะต้องเชื่อมโยงเข้ากับสายสื่อสารหลักที่เรียกว่า
บัส
- โทโปโลยีแบบวงแหวน
เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้ากันเป็นวงกลม
ข้อมูลข่าวสารจะถูกส่งจากโหนดหนึ่งไปยังอีกโหนดหนึ่ง วนอยู่ในเครือข่ายไปในทิศทางเหมือนวงแหวน
ในแต่ละโหนดหรือสถานีจะมีรีพีตเตอร์ประจำโหนด 1 ตัว
ซึ่งจะทำหน้าที่เพิ่มเติมข่าวสารที่จำเป็นต่อการสื่อสารในส่วนหัวของแพ็กเกจข้อมูลที่ไหลผ่านมาจากสายสื่อสาร
- โทโปโลยีแบบดาว
เป็นการเชื่อมโยงการติดต่อสื่อสารที่มีลักษณะคล้ายรูปดาวหลายแฉก โดยมีสถานีกลางหรือฮับเป็นจุดผ่านการติดต่อกันระหว่างทุกโหนดในเครือข่าย
- โทโปโลยีแบบผสม
เป็นเครือข่ายการสื่อสารข้อมูลแบบผสมระหว่างเครือข่ายแบบใดแบบหนึ่งหรือมากกว่า
เพื่อความถูกต้องแน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการและภาพรวมขององค์การ
ปัจจุบันช่องทางการติดต่อสื่อสารมีอยู่
2 ลักษณะ
ซึ่งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการใช้งานที่แตกต่างกัน ได้แก่ การสื่อสารแบบมีสาย
เช่น สายเกลียวคู่หรือสายโทรศัพท์ สายโคแอกเซียลและสายใยแก้วนำแสง
และระบบสื่อสารแบบไร้สาย เช่น คลื่นสั้น และดาวเทียม
โดยช่องทางการติดต่อสื่อสารแต่ละลักษณะจะมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
สัญญาณแบบแอนะล็อกและสัญญาณแบบดิจิตอล
ส่วนอุปกรณ์สนับสนุนการติดต่อสื่อสารสำคัญมีดังนี้ อุปกรณ์ประมวลผลหน้า
อุปกรณ์รวบรวม และอุปกรณ์ควบคุม
1)
ระบบเครือข่ายสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์มีอิทธิพลต่อการพัฒนา
และการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศทางธุรกิจอย่างไร
ตอบ
เป็นระบบสารสนเทศที่เปรียบเสมือนระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการทำงานภายใน
รับสัมผัส และตอบสนองต่อภายนอก
2)
ระบบเครือข่ายแบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 4 ชนิด คือ
- ระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่
- ระบบเครือข่ายเฉพาะเขตเมือง
- ระบบเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่
- ระบบเครือข่ายระหว่างประเทศ
3) ระบบเครือข่ายเฉพาะพื้นที่ (LAN)
และระบบเครือข่ายครอบคลุมพื้นที่ (WAN) มีความแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ LAN
เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้เชื่อมโยงคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ
ที่อยู่ในระยะใกล้เข้าด้วยกัน
WAN เป็นระบบที่ติดต่อโดยการใช้คลื่นไมโครเวฟและดาวเทียมเข้าช่วย
เพื่อให้การสื่อสารข้อมูลมีประสิทธิภาพ
4)
จงเปรียบเทียบคุณสมบัติและประสิทธิภาพของช่องทางการสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ตอบ
ช่องทางการติดต่อสื่อสารเป็นตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ
เพื่อที่จะให้ช่องทางส่งสัญญาณและส่งผ่านข้อมูลระหว่างกัน
5)
รูปแบบของโทโปโลยีของเครือข่ายแบ่งออกเป็นกี่แบบ อะไรบ้าง
ตอบ มี 4 รูปแบบ คือ
- โทโปโลยีแบบบัส
- โทโปโลยีแบบวงแหวน
- โทโปโลยีแบบดาว
- โทโปโลยีแบบผสม
6)
ช่องทางการติดต่อสื่อสารแบ่งออกเป็นกี่ลักษณะ อะไรบ้าง
ตอบ มี 2 ลักษณะ คือ
- ระบบสื่อสารแบบมีสาย
- ระบบสื่อสารแบบไร้สาย
7)
สายเกลียวคู่หรือสายโทรศัพท์ สายโคแอกเซียล
และสายใยแก้วนำแสง มีความแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ สายเกลียวคู่
คือ สายที่มีเส้นลวด 2 เส้นพันกันเป็นเกลียว
โดยมีฉนวนห่อหุ้มเส้นลวดเกลียวคู่แต่ละเส้นไว้
เหตุที่เส้นลวดพันกันเป็นเกลียวก็เพื่อลดเสียงรบกวน
การส่งข้อมูลด้วยสายเกลียวคู่นี้มักเป็นการส่งสัญญาณเสียง
สายโคแอกเซียล
มีลักษณะเป็นสายกระบอกที่ทำด้วยทองแดง และมีลวดตัวนำอยู่ตรงกลาง
ระหว่างลวดตัวนำและทองแดงจะมีฉนวนห่อหุ้มสายโคแอกซ์
สามารถส่งข้อมูลได้รวดเร็วและมากกว่าสายเกลียวคู่
ตลอดจนช่วยป้องกันการรบกวนในการติดต่อสื่อสารได้ดีกว่าสายเกลียวคู่
สายใยแก้วนำแสง
มีลักษณะเป็นเส้นบางๆ คล้ายเส้นใยแก้ว
โดยข้อมูลจะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณแสงและส่งผ่านไปตามเส้นใยด้วยความเร็วแสง
จึงทำให้เส้นใยนำแสงสามารถส่งข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน ทนทาน
และป้องกันการรบกวนได้ดีกว่าเส้นลวดชนิดต่างๆ
8)
จงอธิบายความแตกต่างระหว่างสัญญาณแบบแอนาล็อก
กับสัญญาณแบบดิจิตอล
ตอบ แบบที่
1 จะเป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง ระดับของสัญญาณ
จะเปลี่ยนสูงหรือต่ำอย่างต่อเนื่อง
ที่ทุกๆค่าเปลี่ยนแปลงไปของระดับสัญญาณจะมีความหมาย
การส่งสัญญาณแบบนี้จะถูกรบกวนให้มีการแปลความหมายผิดพลาดได้ง่าย
แบบที่
2 ประกอบขึ้นจากระดับสัญญาณเพียง 2 ค่า คือ สัญญาณระดับสูงสุดและสัญญาณระดับต่ำสุด
ดังนั้นจะมีประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือสูงกว่าแบบแอนะล็อก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น